รสทางวรรณคดีไทย
รสทางวรรณคดีที่ มีอยู่ ๔ ชนิด คือ เสาวรจนี นารีปราโมทย์ พิโรธวาทัง สัลลาปังคพิไสย
๑) เสาวรจนี
รสนี้เป็นการชมความงาม ชมโฉม พร่ำพรรณาแลบรรยายถึงความงามแห่งนาง ทั้งตามขนบกวีเก่าก่อนแลในแบบฉบับส่วนตัว ตัวอย่างเช่น
หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาย ควรจะนับว่าชาโฉมยง
ทนต์แดงดั่งแสงทับทิม
เพริศพริ้มเพรารับกับขนง
เกศาปลายงอนงามทรง
เอวองค์สารพัดไม่ขัดตา
จากบทข้างต้น เป็นการกล่าวชมรูปโฉมของวิหยาสะกำ ซึ่งถูกสังคามาระตาสังหาร กล่าวว่าวิหยาสะกำนั้น เป็นชายหนุ่มรูปงาม ฟันนั้นเป็นแสงแวววาวสีแดงราวกับแสงของทับทิม ซึ่งตัดรับกับคิ้ว รวมทั้งปลายเส้นผมซึ่งงอนงามขึ้นเป็นทรงสวยงาม รับกับทรวดทรงองค์เอวของวิหยาสะกำ
๒) นารีปราโมทย์ คือ การทำให้ "นารี" นั้น ปลื้ม "ปราโมทย์" ซึ่งรูปแบบหนี่งก็คือ การแสดงความรักผ่านการเกี้ยวแลโอ้โลมปฏิโลม. อันคำว่า "โอ้โลมปฏิโลม" นี้ ความหมายอันแท้จริงของคำก็คือ การใช้มือลูบไปตาม (โอ้) แนวขน (โลมา) และย้อน (ปฏิ) ขนขึ้นมา เมื่อโอ้โลมไปมา ในเบื้องปลาย นารีก็จักปรีดาปราโมทย์ ในตอนที่ศึกษา มีเพียงแค่ตอนที่อิเหนากำลังสั่งลาจากนางจินตะหรา ซึ่งเมื่ออ่านดูแล้วบางทีอาจจะไม่ถึงกับเป็นการโอ้โลมปฏิโลมเท่าใดนัก เพียงจะจัดไว้ ณ ที่นี้ เนื่องเพราะเป็นบทที่แสดงถึงความรัก กล่าวคือ
เมื่อนั้น
พระสุริย์วงศ์เทวัญอสัญหยา
โลมนางพลางกล่าววาจา
จงผินมาพาทีกับพี่ชาย
ซึ่งสัญญาว่าไว้กับนวลน้อง
จะคงครองไมตรีไม่หนีหน่าย
มิได้แกล้งกลอกกลับอภิปราย อย่าสงกาว่าจะวายคลายรัก
จากบทข้างต้น ก็คือบทที่อิเหนาได้บอกกล่าวกับจินตะหรา ว่าตนไปก็คงไปเพียงไม่นาน ขอจินตะหราอย่าร้องไห้โศกเศร้าเลย
๓) พิโรธวาทัง คือการแสดงความโกธรแค้นผ่านการใช้คำตัดพ้อต่อว่าให้สาใจ ทั้งยังสำแดงความน้อยเนื้อต่ำใจ, ความผิดหวัง, ความแค้นคับอับจิต แลความโกรธกริ้ว ตามออกมาด้วย เหมือนกล้วยกับเปลือก. กวีมักตัดพ้อและประชดประเทียดเสียดแลสี เจ็บดังฝีกลางกระดองใจ อ่านสนุกดีไซร้แฮ!
ตัวอย่างของรสพิโรธวาทังนี้ก็มีอยู่มากมาย ที่จะยกขึ้นมาเป็นตัวอย่างก็จะมี
เมื่อนั้น พระผู้ผ่านไอศูรย์สูงส่ง
ประกาศิตสีหนาทอาจอง จะณรงค์สงครามก็ตามใจ
ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร จากอาสน์แท่นทองผ่องใส
พนักงานปิดม่านทันใด
เสด็จเข้าข้างในฉับพลัน
ในบทที่ยกมานี้ เป็นตอนที่ท้าวดาหาได้ฟังความจากราชทูตของเมืองกะหมังกุหนิง ที่กล่าวไว้ว่าถ้าท้าวดาหาไม่ยอมยกบุษบาให้กับวิหยาสะกำ ก็ขอให้เตรียมบ้านเมืองไว้ให้ดี เพราะเมืองกะ-หมังกุหนิงจะยกทัพมารบ เมื่อท้าวดาหาได้ฟังก็โกรธเดือดดาลทันใด จึงบอกไปว่าจะมารบก็มา แล้วก็ลุกออกไปทันที
๔) สัลลาปังคพิไสย การครวญคร่ำรำพันรำพึง / สัลลาป น. การพูดจากัน + องค์ น. บท, ชิ้น อัน, ตัว + พิไสย น. ความสามารถ ฤาจะแผลงมาจาก วิสัย ซึ่งแปลว่า ธรรมชาติของสิ่งนั้น ๆ ฤาสันดาน ก็อาจเป็นได้) คือ การโอดคร่ำครวญ หรือบทโศกอันว่าด้วยการจากพรากสิ่งอันเป็นที่รัก. มีใช้ให้เกลื่อนกล่นไปในบรรดานิราศ (ก. ไปจาก, ระเหระหน, ปราศจาก, ปราศจากความหวัง, ไม่มีความต้องการ, หมดอยาก, เฉยอยู่) เนื่องเพราะกวี อันมีท่านสุนทรภู่นำเริ่ดบรรเจิดรัศมีอยู่ที่หน้าขบวน จำต้องจรจากนางอันเป็นที่รัก อกจึงหนักแลครวญคร่ำจำนรรจ์ ประหนึ่งหายห่างกันไปครึ่งชีวิต ในตอนนี้ก็มีเช่นกัน เป็นบทที่อิเหนากำลังชมนกชมไม้ระหว่างจะไปดาหา
ว่าพลางทางชมคณานก
โผนผกจับไม้อึงมี่
เบญจวรรณจับวัลย์ชาลี
เหมือนวันพี่ไกลสามสุดามา
นางนวลจับนางนวลนอน เหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา
จากพรากจับจากจำนรรจา เหมือนจากนางสการะวาตี
แขกเต้าจับเต่าร้างร้อง
เหมือนร้างห้องมาหยารัศมี
นกแก้วจับแก้วพาที
เหมือนแก้วพี่ทั้งสามสั่งความมา
ฯลฯ
จากบทข้างบน จะเห็นได้ว่าอิเหนากำลังโศกเศร้าอย่างหนัก จะเรียกว่าอยู่ในขั้นโคม่าเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะมองอะไร ก็นึกถึงแต่นาง ทั้งสามที่ตนรัก อันได้แก่ จินตะหรา มาหยารัศมี และสการะวาตี มองสิ่งใด ก็สามารถเชื่อมโยงกับนางทั้งสามได้หมด
อะไรๆ ก็ "ไม่เป็นไร"
ชาวต่างประเทศที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย มักจะรู้จักคำซึ่งเป็นบุคลิกลักษณะของคนไทยคือคำว่า ไม่เป็นไร และแปลความไปในด้านที่ว่าคนไทยเฉื่อยชา ไม่ชอบทำอะไรจริงจัง หรือแม้แต่ จะทำอะไรบ้างก็ไม่ใคร่จะเป็นผลสำเร็จ จึงใช้คำว่า ไม่เป็นไร แทนคำแก้ตัว บางคนก็ว่าไม่เป็นไร ทำให้คนขาดความกระตือรือร้นเพื่อความก้าวหน้า หรือหาช่องทางอื่นที่ดีกว่าเดิม เช่น คนที่ซื้อสลากินแบ่งรัฐบาลไว้งวดละหลายๆ ใบ เมื่อไม่ถูกรางวัลก็ ไม่เป็นไร
ที่บางคนก็ว่าคำ ไม่เป็นไร เป็นคำกล่าวที่หาความจริงมิได้ เป็นต้นว่า เพื่อนของคุณสารภาพว่า เธอได้ทำน้ำส้มหกราดกระโปรงของคุณเสียแถบหนึ่ง คุณแสนจะเป็นเดือดเป็นแค้น แต่เนื่องจากว่าถึงคุณจะวู่วามไปก็ไม่เป็นผล คุณจึงกล่าวคำ ไม่เป็นไร ทั้งที่ "เป็นไร" อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คำว่า ไม่เป็นไร จะถูกกล่าวหาไปในทางไม่ดี ข้าพเจ้าก็ยังคงมีศรัทธาในคำนี้ และเชื่อว่ามันให้ผลทางจิตใจอยู่ไม่น้อย ไม่เฉพาะแต่ผู้กล่าวแต่รามทั้งผู้ฟังด้วย หลายครั้งที่เรื่องใหญ่โตถูกระงับลงได้ด้วยคำว่า ไม่เป็นไร และความโกรธแค้น ความเสียดาย ความเศร้าโศก และความพลาดหวัง ค่อยผ่อนคลายลงได้อย่างประหลาดเมื่อได้ยินคำว่า ไม่เป็นไร
ที่..เมื่อคุณ ขึ้นรถประจำทางในขณะที่คนแน่น คุณบังเอิญเหยียบเท้าคนหนึ่งเข้าโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ถ้าคุณกล่างคำ ขอโทษ แล้วใครคนนั้นบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณจะรู้สึกสบายใจขึ้นกว่าการที่ใครคนนั้นไม่พูดอะไรเลย หรือยิ่งกว่านั้นอาจจ้องมองคุณอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ
ในการทำ งานอาชีพ ถ้าเพื่อนของคุณซึ่งเข้าทำงานพร้อมๆ กัน ในตำแหน่งอย่างเดียวกัน เกิดกระโดดสูงข้ามหน้าข้ามตาคุณไป ถ้าคุณเกิดอิจฉาริษยา บอกตัวคุณเองว่า เพื่อนคนนั้นไม่เห็นจะวิเศษตรงไหน ไม่น่าเลยหน้าคุณไปเลยนะนี่ "ฉันจะต้องหาทางปัดแข้งปัดขาให้ตกเก้าอี้ลงมาให้ได้" ตลอดเวลานั้น ถ้าคุณหมกมุ่นหาวิธีต่างๆ นานาที่จะผลักเพื่อนของคุณให้ตกเก้าอี้ คุณไม่มีวันจะสบายใจ จิตใจเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา ไม่ช้าคุณก็จะกลายเป็นโรคประสาท แต่ถ้าคุณบอกตัวเองเสียแต่แรกว่า ไม่เป็นไรหรอก คนที่วิ่งไปข้างหน้านั้นมักไม่ได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย ปล่อยคนที่วิ่งเร็วให้วิ่งนำหน้าไปก่อนเถิด ในที่สุดเขาก็จะต้องนั่งลงพักอยู่ข้างทาง ให้คนข้างหลังวิ่งผ่านไปถึงที่หมายก่อน ถ้าคุณคิดได้อย่างนี้ จิตใจก็จะสงบผ่องใส สมองมีโอกาสคิดอ่านเรื่องที่ดีงาม
ที่หลายครั้งใน ชีวิตที่คุณไม่ได้รับสิ่งที่คุณต้องการ คุณพลาดหวัง
จากสิ่งที่คิดว่าจะได้ คุณปลอบใจตัวเองว่า ไม่เป็นไรหรอก วันหนึ่งข้างหน้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนาจะต้องถึงมือเข้าสักวันหนึ่งในที่สุดคุณก็ได้สิ่งนั้นสมปรารถนา คำว่า ไม่เป็นไร ช่วยผ่อนคลาย
ความตึงเครียดของจิตใจได้เป็นอย่างดี
ถ้าคุณอยากจะขอ ความช่วยเหลือจากเพื่อนของคุณ ถ้าเพื่อนคนนั้นพูดว่า ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เรื่องเล็กน้อยเท่านี้ คุณจะรู้สึกว่าเป็นคำปลอบประโลมใจได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าต่อไปความช่วยเหลือ
นั้นอาจจะไม่เป็นผลสำเร็จก็ตาม
ที่ข้าพเจ้า เชื่อเหลือเกินว่า คำว่า ไม่เป็นไร นี้แทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของคนทุกคน ผู้ที่ไม่เคยกล่าวคำนี้ดูเหมือนจะไม่มี ผู้ที่กล่าวคำนี้มากๆ ครั้ง คือผู้ที่มีจิตใจอันผ่องแผ้วและสงบสุข เป็นปรัชญาของคนไทยซึ่งมีความสุภาพและชอบให้อภัยผู้อื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น